หมู่เกาะกาลาปากอส อีกโลกหนึ่งของสัตว์ทะเล ที่หาที่ไหนในโลกไม่ได้อีกแล้ว ที่ที่มนุษย์เฝ้าดูและแอบถ่ายภาพสิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์เหล่านี้ เชื่อว่าที่นี่ต้องอยู่ในรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในฝันอันดับต้นๆ ของใครหลายคนแน่นอน
หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นเกาะภูเขาไฟ 21 เกาะในประเทศเอกวาดอร์ ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิก มีความหลากหลายทางชีวภาพมากมาย ได้รับการดูแลภายใต้อุทยานแห่งชาติกาลาปากอสและเขตสงวนทางทะเลกาลาปากอส ธรรมชาติเหล่านี้จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้เข้มงวด
ห้องแลปธรรมชาติของชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ผู้เดินทางรอบโลกเพื่อศึกษาธรรมชาติ ซึ่งเขาได้แวะมายังเกาะกาลาปากอสและเจอกับขุมทรัพย์ของธรรมชาติ จนนำไปสู่การค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยเขาสังเกตเห็นความแตกต่างของจงอยปากนกชนิดเดียวกัน แต่อาศัยอยู่คนละเกาะ ซึ่งเป็นผลมาจากเมล็ดพืชที่เป็นอาหารที่แตกต่างกัน
18 เกาะหลักในหมู่เกาะกาลาปากอส
Baltra (South Seymour) Island เกาะบาลตรา (หรือเกาะเซย์มัวร์ใต้) มีลักษณะเป็นพื้นราบและแห้งแล้งมาก พืชส่วนมากบนเกาะนี้เป็นพวกต้นกระบองเพชรพริคลีย์แพร์ (Prickly Pear Cactus) ต้นพาโลซานโต (Palo santo) และเหงือกปลาหมอ (Saltbushes) จนในปี 1986 มีการสร้างสนามบิน Baltra (Seymour) Airport ขึ้น เป็นสนามบินแห่งเดียวในหมู่เกาะกาลาปากอส และปัจจุบันมีอีกแห่งหนึ่งที่เกาะซานคริสโตบาล ในปี 1940s นักวิทยาศาสตร์นำอิกัวน่า 70 ตัวจากเกาะนี้ไปยังเกาะเซย์มัวร์เหนือเพื่อวิจัยและทดลอง ซึ่งโชคดีมากที่พวกเขาได้ย้ายไปบ้าง เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะนี้เป็นฐานทัพทหารทำให้อิกัวน่าชนิดนี้สูญพันธุ์ไปจากเกาะ ต่อมาในการวิจัยของชาลส์ ดาร์วิน ได้เพาะพันธุ์อิกัวน่าบนเกาะเซย์มัวร์เหนือ และนำกลับมาที่เกาะนี้อีกครั้งได้สำเร็จในปี 1990s
Bartolomé (Bartholomew) Island เกาะบาร์โตโลเม่ เป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยของเพนกวินกาลาปากอสที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง รวมทั้งยังมีเต่าตนุอาศัยอยู่ด้วย
Darwin (Culpepper) Island เกาะดาร์วิน ตั้งชื่อตามชาลส์ ดาร์วิน บนเกาะสามารถเจอแมวน้ำเฟอร์ซีล อิกัวน่าทะเล นกนางนวล swallow-tailed สิงโตทะเล วาฬ เต่าทะเล นกบูบีตีนแดง และนกบูบีนาซกา
Española (Hood) Island เกาะเอสปันยอลา เป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุประมาณ 3.5 ล้านปี และเป็นเกาะที่อยู่ใต้สุด มีความหลากหลายของชีวภาพมาก เป็นที่เดียวที่นกอัลบาทรอสคลื่น (Waved Albatrosses) มาสร้างรัง รวมทั้งยังอยู่ใกล้กับเอกวาดอร์และเปรูด้วย จึงมีนักท่องเที่ยวมาจากทั้งสองฝั่ง มีชายหาดให้พักผ่อน สามารถว่ายน้ำเล่นและดำน้ำตื้นได้
Fernandina (Narborough) Island เกาะเฟร์นันดินา เป็นเกาะที่อายุน้อยที่สุดและอยู่ฝั่งตะวันตกที่สุด ในปี 2005 เกาะแห่งนี้เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้น พ่นเถ้าภูเขาไฟออกมา ไอน้ำลอยขึ้นสูง 7 กิโลเมตร และลาวาไหลลงสู่ทะเล มีนกกาน้ำ (Flightless cormorant) อาศัยอยู่เช่นเดียวกับ เพนกวินกาลาปากอส นกกระทุง สิงโตทะเลกาลาปากอส และแมวน้ำเฟอร์ซีลกาลาปากอส
Floreana (Charles or Santa María) Island เกาะฟลอเรียนา หรือเกาะซานตามาเรีย เป็นเกาะที่น่าสนใจมากด้านประวัติศาสตร์มนุษย์ มีร่องรอยของมนุษย์โบราณอาศัยอยู่ และที่จุด Devil's Crown มีภูเขาไฟใต้ทะเลและปะการังสวยๆตั้งอยู่
Genovesa (Tower) Island เกาะเคโนเบซา มีชื่อเล่นว่าเกาะนก เพราะมีนกอาศัยอยู่หลายชนิด เป็นสถานที่ดูนกชั้นยอด และบนเกาะยังมีป่าพาโลซานโต (Palo santo) ขนาดใหญ่อีกด้วย
Isabela (Albemarle) Island เกาะอิซาเบลา เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยภูเขาไฟขนาดใหญ่ 6 ลูก มีสัตว์อาศัยอยู่หลายชนิด รวมทั้งยังมี Puerto Villamil หมู่บ้านเล็กๆบนปลายเกาะทางตะวันออกเฉียงใต้
Marchena (Bindloe) Island เกาะมาร์เชนา เป็นที่อยู่ของเหยี่ยวกาลาปากอส และสิงโตทะเล รวมทั้งกิ่งก่า Marchena lava lizard ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นด้วย
North Seymour Island เกาะเซย์มัวร์เหนือ มีนกบูบีตีนฟ้าและนกนางนวล swallow-tailed อาศัยอยู่จำนวนมาก และมีนกโจรสลัดอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่ง
Pinzón (Duncan) Island เกาะปินซน มีขนาด 18 ตารางกิโลเมตร และจุดที่สูงที่สุด 458 เมตร
Pinta (Louis) Island เกาะปินตา มีร่างเต่าปินตาตัวสุดท้ายตั้งแสดงอยู่ ซึ่งมีชื่อว่า Lonesome George เต่าตัวนี้ถูกย้ายจากเกาะปินตามายังศูนย์วิจัยของดาร์วินบนเกาะซานตาครูซ เพื่อวิจัยและเพาะพันธุ์ จนในปี 2012 เต่าตัวนี้ก็ตายไปโดยไม่สามารถเพาะพันธุ์ได้เลย และประกาศให้เต่าปินตูเป็นสัตว์สูญพันธุ์
Rábida (Jervis) Island เกาะราบิดา ลาวาบนเกาะราบิดามีส่วนผสมของเหล็กสูง เกาะนี้จึงออกเป็นสีแดง มีเป็ด White-cheeked pintail ducks อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาบน้ำเค็มบนเกาะ ต่อมายังพบฟลามิงโกที่ทะเลสาบด้วย แต่ปัจจุบันได้ย้ายออกไปแล้ว เนื่องจากขาดแคลนอาหาร
San Cristóbal (Chatham) Island เกาะซานคริสโตบาล เป็นเกาะแห่งแรกที่ซาลส์ ดาร์วินเข้ามาเยี่ยมชมในกาลาปากอส มีสัตว์อาศัยอยู่หลากหลายชนิด และมีทะเลสาบ Laguna El Junco แหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะด้วย ทางใต้สุดของเกาะมีเมือง Puerto Baquerizo Moreno ซึ่งมีคนอยู่อาศัยและมีสนามบิน San Cristóbal Airport ตั้งอยู่
Santa Cruz (Indefatigable) Island เกาะซานตาครูซ เกาะนี้มีคนอาศัยอยู่ที่เมือง Puerto Ayora และเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยชาลส์ ดาร์วิน รวมทั้งยังมีสำนักงานอุทยานแห่งชาติกาลาปากอสด้วย
Santa Fe (Barrington) Island เกาะซานตาเฟ มีป่ากระบองเพชรโอพันเทีย (Opuntia) ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ สามารถพบอิกัวน่ากาลาปากอสและกิ้งก่าลาวา (lava lizards) ได้ด้วย
Santiago (San Salvador, James) Island เกาะซานติอาโก มีสัตว์ทะเลอาศัยอยู่หลายชนิด เหยี่ยวกาลาปากอสก็พบเจอได้บ่อยครั้ง ที่ Sulivan Bay มีร่องรอยการไหลของลาวาด้วย เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว
Wolf (Wenman) Island เกาะวูล์ฟ หรือเกาะเวนมัน เป็นที่อยู่อาศัยของนกกระจิบดูดเลือด (Vampire Finch) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นกชนิดนี้จะดูดเลือดจากนกตัวอื่น ซึ่งมีทฤษฎีว่า จริงๆแล้วบรรพบุรุษมันไม่ได้ต้องการกินเลือดหรอก แต่กินปรสิตที่อยู่บนนกตัวอื่นต่างหาก
เกาะเล็กในหมู่เกาะกาลาปากอส
Daphne Major เกาะเล็กๆทางเหนือของเกาะซานตาครูซ มีความสำคัญในการศึกษาประชากรนกกระจิบมายาวนานหลายปีของ Peter and Rosemary Grant นักชีววิทยา
South Plaza Island (Plaza Sur) เกาะนี้เต็มไปด้วยกระบองเพชรโอพันเทียและผักเบี้ยทะเล และที่นี่อิกัวน่าครอง ทั้งอิกัวน่าบกและทะเล มีนกจำนวนมากให้ชมด้วย
Roca Redonda เกาะเล็กๆกลางทะเล
Nameless Island เกาะที่ไม่มีชื่อ เป็นจุดดำน้ำสกูบายอดนิยม
การท่องเที่ยวบนเกาะกาลาปากอสจำกัดมากๆ เพื่อรักษาธรรมชาติไว้ สำหรับนักท่องเที่ยวมีทั้งหมด 116 จุดที่เยี่ยมชมได้ แบ่งเป็นบนบก 54 จุดและจุดดำน้ำลึกและน้ำตื้น 62 จุด นักท่องเที่ยวกลุ่มนึงจำกัดการเยี่ยมชม 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น และทุกกลุ่มต้องมีไกด์ดูแลตลอดทริป
การเดินทางด้วยเครื่องบินสามารถมาลงที่เกาะซานคริสโตบาลและเกาะบาลตรา หรือเดินทางด้วยเรือก็มีเรือธรรมดาและเรือยอร์ชให้บริการ มีโรงแรมให้พักค้างคืนบนเกาะที่มีคนอาศัยอยู่ หรือสามารถตั้งแคมป์บนชายหาดได้ด้วย แต่ต้องขออนุญาตก่อนซึ่งมากสุดไม่เกิน 3 คืน
Comments